โอดะ โนบุนางะ (ญี่ปุ่น: ?? ?? โรมาจิ: Oda Nobunaga, 23 มิถุนายน ค.ศ. 1534 – 21 มิถุนายน ค.ศ. 1582) เป็นไดเมียว และหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเซงโงกุ เป็นหนึ่งในสามผู้รวบรวมญี่ปุ่นจากความแตกแยกในยุคเซงโงกุ
ยุคเซ็งโงกุเป็นยุคแห่งสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างไดเมียวกลุ่มต่างๆ เนื่องเพราะอำนาจการปกครองจากส่วนกลางของโชกุนเสื่อมถอยลง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดสงครามกลางเมืองที่นองเลือดสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งได้บังเกิด 3 จอมคนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความมุ่งหวังและดำเนินการรวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นในกลียุคให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง โดยบุรุษคนแรกที่เป็นผู้จุดประกายเริ่มต้นตำนานอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นคือ โอะดะ โนะบุนะงะ
โอดะ โนบุนางะ เกิดเมื่อค.ศ. 1534 ที่ปราสาทนะโงยะ มีชื่อว่า คิปโปชิ (???) เป็นบุตรชายคนที่สองของ โอดะ โนบุฮิเดะ (????) ไดเมียวแห่งแคว้นโอะวะริ (??) จังหวัดไอจิในปัจจุบัน เป็นบุตรคนโตสุดที่เกิดกับภรรยาเอกของโนะบุฮิเดะ คือ นางโดะตะ-โงเซ็ง (????)
ในฐานะที่เป็นบุตรคนโตสุดที่เกิดกับภรรยาเอก ทำให้คิปโปชิเป็นอันดับหนึ่งในการสืบทอดแคว้นโอะวะริต่อจากโนะบุฮิเดะบิดาของตน ซึ่งได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาคนสนิทของตนคือ ฮิระเตะ มะซะฮิเดะ (????) เป็นอาจารย์คอยฝึกวิชาความรู้ให้แก่คิปโปชิ แต่ว่าคิปโปชิกลับมีพฤติกรรมที่ประหลาด เอาแต่ใจตนเอง และไม่อยู่ในกรอบประเพณี ทำให้เป็นที่ไม่พอใจของบรรดาซะมุไรหรือข้ารับใช้ของตระกูลโอะดะ รวมทั้งมารดาของคิปโปชิเอง จนทำให้คิปโปชิมีชื่อกระฉ่อนไปทั่วภูมิภาคคันไซว่า "เจ้าโง่แห่งแคว้นโอะวะริ" (???????) แต่ด้วยการสนับสนุนของบิดาและมะซะฮิเดะผู้เป็นอาจารย์ ทำให้คิปโปชิยังคงสถานะเป็นทายาทของตระกูลโอะดะอยู่ได้
ในเวลานั้นตระกูลโอะดะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากแคว้นข้างเคียงที่ทรงกำลังอำนาจ อันได้แก่ ตระกูลอิมะงะวะ ผู้ปกครองสามแคว้นทางตะวันออกของโอะวะริ (ในบริเวณจังหวัดชิซุโอะกะในปัจจุบัน) และตระกูลไซโต (??) ผู้ปกครองแคว้นมิโนะ (?? จังหวัดกิฟุในปัจจุบัน) ทางตอนเหนือ ในค.ศ. 1546 เมื่ออายุสิบสองปี คิปโปะชิผ่านพิธีเง็มปุกุได้รับชื่อว่า โอะดะ โนะบุนะงะ โนะบุฮิเดะบิดาร่วมกับมะซะฮิเดะผูกสัมพันธ์กับตระกูลไซโตแห่งแคว้นมิโนะ โดยส่งมะซะฮิเดะเดินทางไปสู่ขอนางโน-ฮิเมะ (??) บุตรสาวของไซโต โดซัง (????) ไดเมียวผู้ปกครองแคว้นมิโนะ มาเป็นภรรยาของโนะบุนะงะ
นอกจากนี้โนะบุนะงะยังได้มีโอกาสได้สัมผัสกับอาวุธชนิดใหม่ในขณะนั้น คือ ปืน ซึ่งผลิตและนำเข้าโดยชาวโปรตุเกสที่เกาะทะเนะงะชิมะ ทางตอนใต้ของเกาะคีวชู
ในค.ศ. 1551 โนะบุฮิเดะผู้เป็นบิดาถึงแก่กรรม โนะบุนะงะได้อาละวาดกลางงานศพของบิดาของตน ทำให้บรรดาข้ารับใช้ของตระกูลโอะดะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และทำให้มะซะฮิเดะรู้สึกผิดอย่างมากที่ทำการสั่งสอนโนะบุนะงะไม่ดีพอ จึงกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตเพื่อชดใช้ความผิด เหตุการณ์นี้ทำให้โนะบุนะงะเสียใจอย่างมาก เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งไดเมียวแห่งโอะวะริ โนะบุนะงะยังคงอ่อนด้อยประสบการณ์ ทำให้การปกครองของแคว้นตกอยู่ในมือของโอะดะ โนะบุโตะโมะ (????) ผู้ซึ่งมาจากสาขาย่อยของตระกูลโอะดะและเป็นผู้ปกครองปราสาทคิโยะซุ (???) ในค.ศ. 1554 ชิบะ โยะชิมุเนะ (????) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นชูโงแห่งแคว้นโอะวะริ (ได้รับการแต่งตั้งมาจากรัฐบาลโชกุนมุโระมะชิ) ทราบว่าโนะบุโตะโมะวางแผนลอบสังหารโนะบุนะงะ จึงนำความมาบอกแก่โนะบุนะงะ เมื่อโนะบุโตะโมะทราบว่าแผนของตนรั่วไหลจึงสังหารโยะชิมุเนะไป แต่ในปีต่อมาค.ศ. 1555 โนะบุนะงะได้ชิงลงมือทำการลอบสังหารโนะบุโตะโมะเสียก่อนที่ปราสาทคิโยะซุ
ปีต่อมาค.ศ. 1556 ไซโต โยะชิตะซึ (????) ทำการก่อกบฏต่อบิดาของตนคือไซโตโดซัง ไซโตโดซังขอให้โนะบุนะงะผู้เป็นลูกเขยยกทัพเข้าไปยังแคว้นมิโนะเพื่อช่วยเหลือตนแต่ไม่ทันการ โดซังถูกสังหารในที่รบและโยะชิตะซึจึงขึ้นเป็นไดเมียวแห่งมิโนะคนใหม่ ในปีเดียวกันนั้นเองน้องชายของโนะบุนะงะคือ โอะดะ โนะบุยุกิ (????) ก่อกบฏหมายจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลโอะดะด้วยการสนับสนุนของชิบะตะ คะซึอิเอะ (????) ฮะยะชิ ฮิเดะซะดะ (???) รวมทั้งมารดาของโนะบุนะงะเอง โนะบุนะงะสามารถเอาชนะทัพของน้องชายตนเองได้ในยุทธการอิโน (?????) โนะบุนะงะไว้ชีวิตขุนพลทั้งสองแต่ต้องการที่จะสังหารโนะบุยุกิน้องชาย แต่ด้วยการร้องขอของมารดาโนะบุนะงะจึงได้ไว้ชีวิตโนะบุยุกิ ปรากฏว่าในปีต่อมาค.ศ. 1557 โนะบุยุกิวางแผนยึดอำนาจอีกครั้ง โนะบุนะงะจึงแสร้งป่วยเพื่อให้โนะบุยุกิมาเยี่ยมตนที่ปราสาทคิโยะซุ จากนั้นจึงได้สังหารโนะบุยุกิทิ้ง
ในค.ศ. 1561 อิมะงะวะ โยะชิโมะโตะ (????) ไดเมียวผู้ทะเยอทะยานแห่งตระกูลอิมะงะวะซึ่งปกครองดินแดนทางตะวันออกของโอะวะริ ต้องการที่จะยกทัพไปยึดอำนาจยังเมืองเกียวโต ซึ่งเส้นทางเดินทัพจะต้องผ่านแคว้นโอะวะริ ขุนพลคนสำคัญทั้งหลายแห่งตระกูลโอะดะต่างมีความเห็นว่าตระกูลอิมะงะวะมีกำลังอำนาจควรจะปล่อยให้เดินทัพผ่านโอะวะริไปโดยสวัสดิภาพ แต่โนะบุนะงะยืนกรานที่จะเข้าขัดขวางทัพของโยะชิโมะโตะ โดยทัพของโยชิโมโตะมีทหารกว่า 40,000 คน ขณะที่ทัพของโนบุนางะมีทหารเพียง 5,000 คน แต่โนบุนางะจึงคิดว่าถ้าจะสู้ให้ชนะก็ต้องจัดการกับตัวบงการก็คือทัพที่โยะชิโมะโตะอยู่นั่นเอง และในวันนั้นเองนับว่าโชคดีเป็นอย่างมากที่ฝนตก เพราะง่ายควบคุมคนจำนวนน้อยและยากควบคุมทัพขนาดใหญ่ ในระหว่างที่ทัพของโยะชิโมะโตะกำลังพักอยู่นั้นโนบุนางะใช้ทหารจำนวนกว่า 2,000 คนเท่านั้นบุกโจมตีทัพหลักอย่างไม่ทันตั้งตัว ในยุทธการโอะเกะฮะซะมะ (??????) เป็นเหตุให้โยะชิโมะโตะถูกสังหาร เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้โนะบุนะงะมีชื่อเสียงไปทั่วญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นเพียงแค่ไดเมียวของแคว้นเล็กแต่สามารถยับยั้งการยึดอำนาจของไดเมียวผู้ทรงอำนาจอย่างอิมะงะวะ โยะชิโมะโตะได้
ปีต่อมาค.ศ. 1561 ไซโต โยะชิตะซึ ไดเมียวแห่งมิโนะถึงแก่กรรม ไซโต ทะซึโอะกิ (????) ผู้เป็นบุตรชายอายุเพียงสิบสี่ปีและไร้ความสามารถขึ้นเป็นไดเมียวแห่งมิโนะคนต่อมา โนะบุนะงะเห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพเข้ารุกรานแคว้นมิโนะ จนสามารถเข้ายึดปราสาทอินะบะยะมะ (???) อันเป็นที่มั่นของตระกูลไซโตได้ในค.ศ. 1567 ทำให้โนะบุนะงะสามารถเข้าครอบครองแคว้นมิโนะได้ แล้วจึงเปลี่ยนชื่อปราสาทใหม่เป็น ปราสาทกิฟุ (??) จังหวัดกิฟุในปัจจุบัน โนะบุนะงะพำนักที่ปราสาทกิฟุ และประกาศนโยบายรวบรวมญี่ปุ่นที่แตกแยกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของตน พร้อมคติพจน์ที่ว่า เท็งกะ ฟุบุ (????) แปลว่า ปกครองแผ่นดินด้วยการทหาร
กล่าวถึงเหตุการณ์ในเมืองเกียวโต รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลมิโยะชิ ค.ศ. 1565 โชกุนอะชิกะงะ โยะชิเตะรุ (????) ได้ถูกสองขุนพลได้แก่ มะซึนะงะ ฮิซะฮิเดะ (????) และมิโยะชิ โยะชิซึงุ (????) ยกทัพมาสังหารยังที่พัก โนะบุนะงะพำนักอยู่ที่ปราสาทกิฟุได้หนึ่งปี จนกระทั่งในค.ศ. 1568 อะชิกะงะ โยะชิอะกิ (????) ผู้เป็นน้องชายของโชกุนโยะชิเตะรุได้ร้องขอให้โนะบุนะงะยกทัพไปยังเกียวโตเพื่อทำการแก้แค้นให้แก่พี่ชายของตนโดยสังหารขุนพลทั้งสอง
โนะบุนะงะจึงเตรียมการยกทัพไปยึดเมืองเกียวโต แต่เส้นทางเดินทัพไปยังเกียวโตต้องผ่านแคว้นโอมิ (??) จังหวัดชิงะในปัจจุบัน ซึ่งมีไดเมียวตระกูลรกกะกุ (??) ปกครองอยู่และปฏิเสธที่จะให้ทัพของโนะบุนะงะผ่านแคว้นของตน โนะบุนะงะจึงทำสงครามกับตระกูลรกกะกุและสามารถเอาชนะและกำจัดตระกูลรกกะกุออกไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเดินทัพสามารถเข้ายึดเมืองเกียวโตได้ในฤดูหนาวค.ศ. 1568 ฮิซะฮิเดะและตระกูลมิโยะชิเข้าสวามิภักดิ์ต่อโนะบุนะงะ โนะบุนะงะจึงตั้งให้โยะชิอะกิเป็นโชกุนคนใหม่เพื่อเป็นหุ่นเชิดของตน จากความดีความชอบในการช่วยเหลือโชกุนโยะชิอะกิในครั้งนี้โนะบุนะงะได้รับข้อเสนอเป็นตำแหน่งในราชสำนักเกียวโตและในบะกุฟุซึ่งโนะบุนะงะปฏิเสธไปทั้งหมด และมีความเห็นว่าการเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงนั้นสำคัญกว่าตำแหน่งทางพิธีการ
แต่ทว่าโชกุนโยะชิอะกิไม่พอใจการที่ตนตกอยู่ภายใต้อำนาจของโนะบุนะงะ และต้องการที่จะมีอำนาจเต็มในการปกครอง จึงได้ร้องขอไปยังอะซะกุระ โยะชิกะเงะ (????) ไดเมียวแห่งแคว้นเอะจิเซง (จังหวัดฟุกุอิในปัจจุบัน) ให้ยกทัพมาขับไล่โนะบุนะงะออกจากเกียวโตและคืนอำนาจให้แก่โชกุน ความทราบถึงโนะบุนะงะ จึงส่งฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ (ต่อมาคือ โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) นำทัพเข้าบุกแคว้นเอะจิเซงและเอาชนะตระกูลอะซะกุระได้ในยุทธการคะเนะงะซะกิ (??????) ค.ศ. 1570
กล่าวถึงตระกูลอะซะกุระ มีพันธมิตรสำคัญเป็นตระกูลอะซะอิแห่งแคว้นโอมิ ซึ่งขณะนั้นมีผู้นำคือไดเมียวอะซะอิ นะงะมะซะ (????) ผู้เป็นน้องเขยของโนะบุนะงะเนื่องจากนะงะมะซะได้สมรสกับนางโออิจิ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: ?ichi) ผู้เป็นน้องสาวของโนะบุนะงะ โนะบุนะงะคาดหวังว่านะงะมะซะจะเห็นแก่นางโออิจิไม่มาทำสงครามกับตน แต่นะงะมะซะเห็นแก่พันธมิตรกับตระกูลอะซะกุระจึงเข้าช่วยตระกูลอะซะกุระในการสงครามกับโนะบุนะงะ โนะบุนะงะสามารถเอาชนะทัพของทั้งสองตระกูลได้ในยุทธการอะเนะงะวะ (?????) อีกสามปีต่อมา ค.ศ. 1573 โนะบุนะงะนำทัพเข้าล้อมปราสาทฮิกิดะ (???) ของโยะชิกะเงะ และปราสาทโอะดะนิ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Odani-j?) ของนะงะมะซะ และโนะบุนะงะสามารถเข้ายึดปราสาททั้งสองได้ในที่สุด โยะชิกะเงะหลบหนีไปยังปราสาทอิชิโจดะนิ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Ichij?dani-j?) ส่วนนะงะมะซะกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิต โนะบุนะงะยกทัพตามไปปิดล้อมปราสาทอิชิโจดะนิ จนกระทั่งเข้ายึดปราสาทได้ และโยะชิกะเงะกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตไปเช่นเดียวกับนะงะมะซะ
นอกจากนี้ โนะบุนะงะยังทำการปราบปรามกบฏอิกโก อิกกิ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Ikk?-ikki) อันเป็นการรวมตัวกันของพระสงฆ์และชาวบ้านท้องถิ่นเพื่อต่อต้านการปกครองของชนชั้นซะมุไร มีฐานที่มั่นอยู่ที่วัดฮงงัง (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Hongan-ji) บนเขาอิชิยะมะ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Ishiyama) เมืองโอซะกะในปัจจุบัน ในค.ศ. 1570 โนะบุนะงะยกทัพเข้าทำการปิดล้อมเขาอิชิยะมะแต่ถูกทัพของอิกโก-อิกกิขับไล่ออกไปได้ ปีต่อมาค.ศ. 1571 โนะบุนะงะยกทัพเข้าโจมตีเมืองนะงะชิมะ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Nagashima) จังหวัดมิเอะในปัจจุบัน อันเป็นฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่งของอิกโก-อิกกิ หลังการโจมตีหลายครั้งในที่สุดเมืองนะงะชิมะก็เสียให้แก่โนะบุนะงะในค.ศ. 1574 ในค.ศ. 1576 โนะบุนะงะยกทัพเข้าทำการปิดล้อมเขาอิชิยะมะอีกครั้ง จนกระทั่งโนะบุนะงะสามารถเข้ายึดวัดฮงงังบนเขาอิชิยะมะได้ในค.ศ. 1580 หลังจากการปิดล้อมอยู่นานถึงสี่ปี เป็นการปิดล้อมครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น กบฏอิกโก-อิกกิจึงถูกปราบลงได้สำเร็จ
รวมทั้งโนะบุนะงะยังได้ทำการปราบโซเฮ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: S?hei) หรือพระนักรบ อันเป็นกองกำลังทหารที่สำคัญในภูมิภาคคันไซมาแต่ยุคเฮอัง มีฐานที่มั่นที่วัดเองยะกุ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Enryaku-ji) บนเขาฮิเอะอิ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Hiei) จังหวัดชิงะในปัจจุบัน เนื่องจากโซเฮได้ให้หารสนับสนุนแก่ตระกูลอะซะกุระและตจระกูลอะซะอิในการต่อต้านโนะบุนะงะ ในค.ศ. 1571 โนะบุนะงะเข้ายึดเขาฮิเอะอิ ทำการกวาดล้างพระนักรบไปจนหมดสิ้น และในค.ศ. 1573 โนะบุนะงะทำการปลดโชกุนอะชิกะงะ โยะชิอะกิ ออกจากตำแหน่ง ล้มเลิกระบอบการปกครองของโชกุน เป็นการสิ้นสุดรัฐบาลโชกุนมุโระมะชิที่มีมายาวนานถึงสองร้อยกว่าปี
หลังจากที่โนะบุนะงะวางรากฐานอำนาจในเมืองเกียวโตภูมิภาคคันไซได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงหันความสนใจไปทางตะวันออก ในขณะนั้นภาคตะวันออกของญี่ปุ่นมีไดเมียวผู้ทรงอำนาจสองคนกำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ได้แก่ ทะเกะดะ ชิงเง็น (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Takeda Shingen) ไดเมียวแห่งแคว้นคะอิ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Kai) จังหวัดยะมะนะชิในปัจจุบัน และอุเอะซุงิ เค็งชิง (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Uesugi Kenshin) ไดเมียวแห่งแคว้นเอะจิโงะ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Echigo) จังหวัดนิอิงะตะในปัจจุบัน ในค.ศ. 1572 โชกุนโยะชิอะกิได้ร้องขอให้ทะเกะดะชิงเง็นช่วยปราบโนะบุนะงะ ชิงเง็นจึงยกทัพเข้ารุกรานแคว้นโทะโตะมิ อันเป็นดินแดนของโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ โนะบุนะงะจึงส่งอิเอะยะซุไปทำการปราบทะเกะดะชิงเง็๋น ปรากฏว่าประสบกับความพ่ายแพ้ราบคาบต่อตระกูลทะเกะดะในยุทธการมิกะตะงะฮะระ (ญี่ปุ่น: ??????? โรมาจิ: Mikatagahara-no-tatakai) แต่โชคก็เข้าข้างโนะบุนะงะเมื่อชิงเง็นได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในปีต่อมาค.ศ. 1573 ทะเกะดะ คะซึโยะริ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Takeda Katsuyori) ไดเมียวแห่งคะอิคนใหม่ยังอายุน้อยขาดประสบการณ์ ได้ยกทัพตระกูลทะเกะดะเข้าปิดล้อมปราสาทนะงะชิโนะ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Nagashino-j?) ของตระกูลโทะกุงะวะในค.ศ. 1575 แต่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในยุทธการนะงะชิโนะ
เมื่อโนะบุนะงะประสบความสำเร็จในภูมิภาคตะวันออก ทำให้ไดเมียวอุเอะซุงิ เค็งชิง เกรงว่าโนะบุนะงะจะแผ่ขยายอำนาจเข้าครอบงำภาคตะวันออกได้สำเร็จ จึงเข้าร่วมกับตระกูลทะเกะดะต่อต้านการขยายดินแดนของโนะบุนะงะ ด้วยการรุกรานแค้วนโนะโตะ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Noto จังหวัดอิชิกะวะในปัจจุบัน) โนะบุนะงะส่งขุนพลระดับสูงเข้าต้านทานในยุทธการเทะโดะริกะวะ (ญี่ปุ่น: ?????? โรมาจิ: Tedorigawa-no-tatakai) ในค.ศ. 1577 ผลปรากฏว่าฝ่ายของโนะบุนะงะพ่ายแพ้ ตระกูลอุเอะซุงิเข้ายึดแคว้นโนะโตะได้ แต่ทว่าไดเมียวอุเอะซุงิเค็งชินได้ถึงแก่กรรมในอีกห้าเดือนต่อมาในค.ศ. 1578 ทำให้ไดเมียวผู้มีอำนาจเพียงพอที่จะต้านทานการรุกรานของโนะบุนะงะหมดสิ้นไป โนะบุนะงะจึงสามารถเข้าครอบครองญี่ปุ่นภาคตะวันออกได้ในที่สุด
โนะบุนะงะเป็นผู้เริ่มก่อตั้ง "กองกำลังทหารอะชิงะรุ" ซึ่งมาจากบรรดาชาวบ้านธรรมดาที่อยากมีส่วนร่วมกับบ้านเมืองทำสงคราม ให้โอกาสผู้ที่อยากเป็นทหารแต่ไม่มีโอกาสได้เป็น ซึ่งจะแตกต่างจากไดเมียวคนอื่นๆ กองกำลังของโนะบุนะงะจึงเป็นกองทัพที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ไม่เหมือนกองกำลังอื่นๆ ของไดเมียวที่มีแต่ซะมุไรจำนวนมาก กองกำลังอะชิงะรุแม้จะมาจากชาวบ้านธรรมดา แต่ทว่าพวกเขามาด้วยใจที่รักบ้านเมือง แตกต่างจากซะมุไรที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง กองกำลังอะชิงะรุนั้นแม้มีศักยภาพทำสงครามไม่แพ้พวกซะมุไร แต่ก็แตกต่างกับซะมุไรผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง ที่ยอมพลีชีพในสงครามอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ถ้าถูกจับตัวได้จะไม่มีการซัดทอดโดยเด็ดขาด ยอมแม้แต่จะเซ็ปปุกุตัวเองเพื่อไม่ต้องตายโดยน้ำมือผู้อื่น
กองกำลังอะชิงะรุพ่ายแพ้สงครามบ้างเป็นครั้งคราวเพราะความกลัวตาย ทำให้โนะบุนะงะต้องวางแผนทำสงครามใหญ่ ในระหว่างนั้นมีชาวโปรตุเกสเข้ามาติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่น และเผยแผ่ศาสนาคริสต์และปืน อาวุธที่ช่างโปรตุเกสนำมาด้วย หลังจากได้ศึกษาปืนของชาวโปรตุเกสแล้ว โนะบุนะงะมองเห็นว่าอาวุธชนิดนี้สามารถสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งให้แก่ตนได้
ในปี ค.ศ. 1544 โนะบุนะงะก็สั่งให้ช่างชาวญี่ปุ่นแกะและสร้างปืนตามแบบฉบับของชาวโปรตุเกส โดยก่อตั้งโรงงานผลิตอาวุธขึ้น สั่งให้ช่างชาวญี่ปุ่นผลิตปืนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อไดเมียวทั้งหลาย เห็นศักยภาพอาวุธปืนของโอะดะ ต่างพากันหันมาเปลี่ยนอาวุธจากเดิมคือดาบ ธนู หรือธนูเพลิง มาเป็นอาวุธปืนเช่นเดียวกับโนะบุนะงะแทบทั้งสิ้น เพราะอาวุธปืนนั้นสามารถฝึกฝนการใช้งานได้อย่างง่าย ไม่เหมือนกับดาบหรือธนูที่ต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนอย่างยาวนาน
แม้ศัตรูอย่าง อะชิคะงะ โยะชิอะกิ อดีตโชกุนผู้เป็นหุ่นเชิดของโนะบุนะงะจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่โนะบุนะงะกลับยังมีศัตรูจำนวนมากที่เป็นปรปักษ์กับเขา หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของเขาคือพระ นักพรต และนักรบ พระนักรบและนักพรตจำนวนมากต่อต้านและท้าทายอำนาจของโนะบุนะงะ เขาทำสงครามกวาดล้างพระนักรบหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งการรบกันระหว่างพระนักรบและโนะบุนะงะครั้งที่สำคัญที่สุดคือ การบุกเข้าทำลายล้างสำนักสงฆ์ของพระนักรบบนเทือกเขาฮิเออัน ซึ่งเป็นพุทธสถานที่เก่าแก่ มีอายุหลายพันปี
ทำสงครามกวาดล้างสำนักสงฆ์ของกลุมกบฏอิคโค อิคิ โนะบุนะงะสั่งการให้กองกำลังทหารจำนวนมากกว่า 30,000 นาย เข้าโอบล้อมเทือกเขาฮิเออันก่อนจะตีโอบตะลุยขึ้นไปยังวัดซะกะโมะโตะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ของอิคโค อิคิ และเป็นจุดศูนย์กลางของพระนักรบ และการกวาดล้างพระนักรบในครั้งนี้เองที่โนะบุนะงะได้แสดงความโหดร้ายออกมาอย่างชัดเจน เขาออกคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาฮิเออันจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็กทารก สั่งให้กองกำลังทหารของตน เผาทำลายบ้านเรือนทุกหลังจนวอดวาย และให้กองกำลังทหารของเขาบุกโจมตีพระพุทธสถานแห่งอื่น ๆ ที่มีทีท่าว่าจะก่อการกบฏต่อเขา
จากการทำสงครามกับสำนักสงฆ์ที่โนะบุนะงะได้แสดงความเหี้ยมโหดออกมาอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่ว ถึงกระนั้นโนะบุนะงะก็ยังคงเป็นขุนพลนักรบที่มีวัสัยทัศน์กว้างไกล เขาไม่ได้ทำลายเมืองซะคะอิ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น นอกจากไม่ทำลายแล้วยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือแก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ประกอบการค้าขายรายใหญ่ ๆ ของเมืองซะคะอิ เขาวางรากฐานของการค้าและเศรษฐกิจอย่างดี โดยให้สิทธิพิเศษแก่พ่อค้าแม่ค้าในด้านภาษีอากร ควบคุมการชั่ง การตวง และวัดสิ่งของให้ได้ตามระบบมาตรฐานของประเทศ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นในขณะนั้นไม่ได้มีแต่ด้านมืดด้านเดียวอย่างที่ควรจะเป็น โอะดะ โนะบุนะงะอาจจะดูโหดร้าย สร้างศัตรูไว้มากมาย แต่เขาก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้มาอย่างโชกโชน จวบจนวาระสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของอะเกะชิ มิสึฮิเดะ
ในช่วงค.ศ. 1576 - 1580 ระหว่างที่โนะบุนะงะทำการล้อมวัดอิชิยะมะบนเขาฮงอันอยู่นั้น ไดเมียวโมริ เทะรุโมะโตะ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: M?ri Terumoto) แห่งแคว้นอะกิ (ญี่ปุ่น: ?? โรมาจิ: Aki จังหวัดฮิโระชิมะในปัจจุบัน) ซึ่งกำลังเรืองอำนาจอยู่ในภูมิภาคชูโงะกุในขณะนั้น ได้ส่งเสบียงมาช่วยเหลือวัดอิชิยะมะทำให้วัดอิชิยะมะสามารถต้านทานการปิดล้อมของโนะบุนะงะได้ โนะบุนะงะจึงมีแผนการพิชิตตระกูลโมริแห่งชูโงะกุโดยแต่งตั้งให้ฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Hashiba Hideyoshi ต่อมาคือโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) เป็นผู้ยกทัพเข้ายึดครองภูมิภาคชูโงะกุในค.ศ. 1576 ระหว่างที่ทำสงครามเพื่อขยายดินแดนอยู่นั้น ในค.ศ. 1582 ฮิเดะโยะชิได้ขอกำลังเสริมจากโนะบุนะงะ โนะบุนะงะจึงมอบหมายให้อะเกะชิ มิสึฮิเดะ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Akechi Mitsuhide) เป็นผู้นำกำลังเสริมไปช่วยเหลือฮิเดะโยะชิ ในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮิเดะโยะชิ
อะเกะชิ มิซึฮิเดะ เป็นขุนพลระดับสูงของตระกูลโอะดะ ทำสงครามรับใช้โนะบุนะงะมานานมีผลงานมากมาย ใน ค.ศ. 1579 โนะบุนะงะสั่งการให้มิซึฮิเดะนำทัพบุกโจมตีปราสาทยะงะมิของตระกูลฮะตะโนะ (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Hatano) ในเมืองเกียวโต แต่มิซึฮิเดะเลือกใช้วิธีเจรจา เชื่อว่ามิซึฮิเดะส่งมารดาของตนไปเป็นตัวประกัน แต่พวกฮะตะโนะคิดการจะลอบสังหารโนะบุนะงะแล้วแสร้งมาขอสวามิภักดิ์ โนะบุนะงะจึงสั่งประหารชีวิตคนเหล่านั้นทั้งหมด ส่งผลให้มารดาของมิซึฮิเดะต้องโดนสังหารไปด้วย มิซึฮิเดะจึงมีความเจ็บแค้นแล้วจำฝังใจเรื่อยมา
ในค.ศ. 1582 มิซึฮิเดะได้รับมอบหมายให้นำกำลังเสริมไปช่วยเหลือฮิเดะโยะชิในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮิเดะโยะชิ ซึ่งเป็นการดูถูกมิซึฮิเดะอย่างมากด้วยเหตุที่มิซึฮิเดะมีตำแหน่งและอำนาจไม่ได้เป็นรองจากฮิเดะโยะชิ เวลานั้น มิซึฮิเดะทราบว่าโนะบุนะงะเพิ่งเสร็จสิ้นจากงานเลี้ยงน้ำชาต้อนรับอิเอะยะซึ แล้วเดินทางพร้อมทหารองครักษ์ประจำตัวไม่ถึงร้อยคนไปพำนักอยู่ที่วัดฮนโน (ญี่ปุ่น: ??? โรมาจิ: Honn?-ji) ในเมืองเกียวโต ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของโนะบุนะงะเอง ทำให้เขาประมาทและไม่ได้เตรียมตัวว่าจะโดนก่อกบฎหรือลอบโจมตี มิซึฮิเดะแสร้งทำเป็นว่ายกทัพออกไปจากเมืองเกียวโตแต่กลับมาเข้าบุกโจมตีวัดฮนโน ฝ่ายโนะบุนะงะมีกองกำลังเพียงเล็กน้อยไม่สามารถต้านทานได้ ไม่มีใครพบร่างของโนะบุนะงะแต่คาดว่าโนะบุนะงะน่าจะกระทำการเซ็ปปุกุถึงแก่กรรมไปในวัดฮนโนนั่นเอง โอะดะ โนะบุตะดะ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Oda Nobutada) บุตรชายคนโตของโนะบุนะงะถูกปิดล้อมอยู่ในวัดอีกแห่งหนึ่งในเกียวโตเช่นกัน และกระทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตไปเช่นเดียวกับบิดา
ฝ่ายฮิเดะโยะชิเมื่อทราบข่าวการลอบสังหารโนะบุนะงะ จึงรีบยุติสงครามในภูมิภาคชูโงะกุทันทีและรีบยกทัพมายังเมืองเกียวโตเพื่อทำการแก้แค้นให้แก่นายของตน ทัพของฮิเดะโยะชิและมิซึฮิเดะปะทะกันในยุทธการยะมะซะกิ (ญี่ปุ่น: ????? โรมาจิ: Yamazaki-no-tatakai) ในค.ศ. 1583 ฮิเดะโยะเป็นฝ่ายชนะและมิซึฮิเดะเสียชีวิตในที่รบ
เมื่อโอะดะ โนะบุนะงะ ถูกลอบสังหารที่วัดฮนโนพร้อมกับบุตรชายคนโตผู้เป็นทายาทสืบทอดตระกูล ทำให้ตระกูลโอะดะขาดทายาท บุตรชายคนที่สองและคนที่สามของโนะบุนะงะคือ โอะดะ โนะบุกะซึ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Oda Nobukatsu) และโอะดะ โนะบุตะกะ (ญี่ปุ่น: ???? โรมาจิ: Oda Nobutaka) ต่างต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลโอะดะ แต่ทว่าอำนาจในการปกครองที่แท้จริงนั้นตกเป็นของฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ จนในค.ศ. 1584 ฮิเดะโยะชิสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของญี่ปุ่นแทนที่ตระกูลโอะดะได้สำเร็จ การปกครองญี่ปุ่นของตระกูลโอะดะเป็นเวลาเกือบ 20 ปีจึงสิ้นสุดลง และถูกลดสถานะลงเป็นเพียงไดเมียวตระกูลหนึ่ง